Golden Dreams TMS&Herb

วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2561

3 วิธี ออกกำลังกายในน้ำ ลดหุ่น ป้องกันข้อเข่าเสื่อม

3 วิธี ออกกำลังกายในน้ำ ลดหุ่น ป้องกันข้อเข่าเสื่อม

ออกกำลังกายในน้ำ อีกหนึ่งทางเลือกเพื่อปั้นหุ่นสวย ที่ช่วยลดแรงกระแทง ป้องกันการบาดเจ็บของข้อต่อ และอาการข้อเข่าเสื่อมได้
อยากลดน้ำหนัก แต่จะไปวิ่งก็ปวดข้อเท้า แถมยังเหนื่อยจนแทบขาดใจ ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป เพียงย้ายก้นหนักๆ ไปแช่น้ำ จากนั้นก็เวิร์คเอ้าท์ให้น้ำกระจาย ไขมันกระจุย
ไม่นานนี้แนนมีโอกาสได้ทดลองออกกำลังกายในน้ำค่ะ แต่ไม่ใช่การว่ายน้ำหรือแบกกระดานโต้คลื่นไปเล่นเซิร์ฟแล้วนะคะ งวดนี้ ไปวิ่ง เต้นซัลซ่า และปั่นจักรยานในน้ำมาค่ะ ประสบการณ์จาก 3 กิจกรรมนี้จะเป็นอย่างไรมาดูกัน

ประโยชน์เป๊ะปังจากน้ำ

นอกจากการว่ายน้ำแล้ว การออกกําลังกายในน้ำยังมีรูปแบบอื่นๆ อีกมาก ซึ่งไม่จําเป็นต้องว่ายน้ำเป็น เราก็ฝึกได้ โดยในต่างประเทศนั้นการปั่นจักรยานในน้ำ กระโดดน้ำ ระบําใต้น้ำ โปโลน้ำ และเต้นในน้ำ ถือว่าฮิตสุดๆ เหตุที่เขาฮิตกันก็เพราะการออกกำลังกายในน้ำมีประโยชน์มากค่ะ
  1. แรงพยุงตัว(Buoyancy Force/Weightlessness) น้ำช่วยพยุงน้ำหนักตัวเราได้ถึง50เปอร์เซ็นต์ร่างกายจึงเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้นโดยไม่มีแรงกระแทกเท่ากับการออกกําลังกายบนบก เหมาะกับคนที่น้ำหนักตัวมาก รวมถึงผู้ที่มีปัญหาเรื่องข้อหรือหัวเข่า
  2. แรงต้านทาน(Water Resistance) น้ำมีแรงต้านทําให้คุณต้องออกแรงเพิ่มขึ้นในทุกขณะการเคลื่อนไหวผู้ออกกําลังกายจึงได้ใช้กล้ามเนื้อทุกส่วน
  3. แรงดันของน้ำ(Water Pressure) ช่วยลดความดันโลหิต ชีพจรจะเต้นช้าลง หัวใจสูบฉีดโลหิตให้ไหลเวียนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
  4. การระบายความร้อน(Reduce Body Heat) น้ำจะช่วยระบายความร้อนในร่างกายการออกกําลังกายในน้ำไม่ทําให้เสียเหงื่อมาก จึงไม่รู้สึกอ่อนเพลียหลังการออกกําลังกาย

    วิ่งในน้ำ

    หลังจากว่ายน้ำแล้ว และได้อ่านบทความเกี่ยวกับการวิ่งในน้ำ แนนก็เริ่มออกวิ่งในน้ำค่ะ การวิ่งในน้ำที่มีความสูงระดับเอว น้ำจะช่วยรองรับน้ำหนักตัวไว้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ หรือน้ำหนักของเราจะลดลง 50เปอร์เซ็นต์ แต่ที่ความสูงระดับอก น้ำหนักจะลดลงไป 30 เปอร์เซ็นต์ และที่ความสูงระดับไหล่หรือลําคอ น้ำหนักจะลดลงไป 10 เปอร์เซ็นต์ยิ่งน้ำลึกมากเท่าไร น้ำหนักเราจะลดลงมากเท่านั้น การออกกําลังกายในน้ำลึกจึงมีความยากมากกว่าน้ำตื้น
    แนนเลือกวิ่งในน้ำที่สูงเกือบเท่าหน้าอกค่ะ เริ่มจากวิ่งช้าๆ เป็นการอบอุ่นร่างกายราว 5 นาที เอาให้ร่างกายรู้สึกชินกับน้ำเสียก่อน จากนั้นจึงวิ่งเร็วขึ้น วิ่งเหมือนอยู่บนบก พยายามฝืนร่างกายมากๆ เพื่อให้ได้เกร็งกล้ามเนื้อทุกส่วน
    เพียง 15 นาที ก็เหนื่อยแล้วค่ะ เพราะเราต้องใช้แรงมากเป็น 2 เท่าเมื่ออยู่ในน้ำ แต่บอกเลยว่า สนุกมาก เพราะการเกร็งตัวสู้แรงต้านของน้ำให้ความรู้สึกที่ท้าทาย และที่สำคัญ เหงื่อไม่ออก ไม่รู้สึกเหนียวตัว พัก 3-5 นาที แล้ววิ่งต่ออีก 15 นาที เท่านี้ก็เทียบเท่ากับการวิ่งบนบกแล้วค่ะ
    หลังจากวิ่งในน้ำ เรายังต้องยืดเหยียดกล้ามเนื้อด้วยนะคะ แม้จะไม่รู้สึกปวดขาเหมือนกับอยู่บนบกก็ตาม
    สำหรับกิจกรรมนี้ แนนให้ 9/10 เพราะทั้งสนุก ไม่ร้อน ไม่เจ็บข้อต่อ และกล้ามเนื้อ ส่วนอีก 1 คะแนนที่กั๊กไว้ ก็เพราะแถวบ้านไม่มีสระว่ายน้ำ แต่ถ้าหมู่บ้านใครมีสระแนะนำให้ดีดตัวไปวิ่งด่วนค่ะ แล้วจะรู้ว่าใช้พลังงานไม่ต่างกับวิ่งบนบกเลย

    เต้นซัลซ่าในน้ำ

    การเต้นซัลซ่าในน้ำ ไม่ต่างกับการเต้นแอโรบิกในน้ำค่ะ เพียงเปลี่ยนเป็นเพลงจังหวะลาตินที่จะทำให้เราได้เขย่าหน้าอก ส่ายโพกมากยิ่งขึ้น
    เต้นซัลซ่าในน้ำ เป็นการเต้นในน้ำลึกระดับอก ครูฝึกจะสอนอยู่บนบก โดยเริ่มตั้งแต่การอบอุ่นร่างกายด้วยท่าทางง่ายๆ เช่น ย่ำเท้าอยู่กับที่ ชกน้ำ แกว่งแขนไปทางซ้ายขวา
    เมื่อเข้าสู่การเต้นที่แท้จริง ครูจะบอกเสมอว่า ไม่ต้องกลัวว่าจะเต้นผิดหรือตามไม่ทันจังหวะ เพราะเมื่ออยู่ในน้ำเราต้องเจอกับแรงต้าน ขอแค่ขยับไปเรื่อยๆ ก็เพียงพอแล้ว
    ท่าของการเต้นซัลซ่าค่อยข้างง่ายและสนุก ผู้ฝึกจะได้ก้มตัวไปข้างหน้าแล้วส่ายหน้าอก ก้าวขาออกด้านข้างแล้วสะบัดเอว ย่อยืดเข้าจังหวะ เป็นการใช้อวัยวะทุกส่วนของร่างกาย
    เมื่อผ่านไปเพียง 15 นาที จะรู้สึกถึงความเหนื่อยและล้า เพราะต้องเกร็งกล้ามเนื้อตลอดเวลา แต่เนื่องจากเป็นการเต้นแบบกลุ่มจึงทำให้มีแรงฮึดที่จะเต้นต่อจนจบ 45 นาที
    กิจกรรมนี้ รับไปเลย 9/10 เพราะสนุก แถมยังไม่รู้สึกปวดข้อต่อจากการกระโดดกระเด้ง เขย่า สะบัด ยันไปถึงยักไหล่ เป็นการออกกำลังกายที่เหมาะแก่ทุกเพศทุกวัย ที่สำคัญ ไม่ว่าจะทำท่าใด เมื่ออยู่ใต้น้ำก็ดูจะง่ายและพริ้วไหวไปเสียหมด ส่วนที่ขาดไป 1 คะแนน คงต้องยอมให้กับการหาสถานที่เต้นในน้ำที่อาจยากไปเสียหน่อย

    ปั่นจักรยานในน้ำ

    จักรยานที่ใช้ปั่นในน้ำ ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้นะคะ คล้ายกับจักรยานที่เราปั่นตามสตูดิโอเลย เพียงแต่นั่งปั่นจมอยู่ในน้ำครึ่งตัว
    ก่อนอื่นต้องปรับเบาะให้สูงเท่ากับเอว จากนั้น ก็สอดเท้าเข้ากับที่เหยีบซึ่งต้องดึงสายรัดให้แน่นเสียหน่อย เนื่องจากแรงของน้ำจะทำให้เท้าหลุดออกจากที่เหยีบได้ง่าย
    ครูจะสอนให้เรารู้จักกับการปั่นทั้งหมด 3 ระดับค่ะ สเต็ป 1 ปั่นเบาๆ ช้า สเต็ป 2 ปั่นแรงขึ้น และสเปต็ป 3 ปั่นเร็วๆ ให้ลงจังหวะ
    เหมือนง่ายใช่มั้ยคะ แต่บอกเลยว่า ยากเอาเรื่อง! เริ่มจากปั่นเบาไปหนัก แล้วกลับมาเบา จากนั้น ปั่นสเต็ป 2 ต่อด้วยสเต็ป 3 ปั่นวนไปค่ะ
    เวลาที่ปั่น ลำตัวห้ามโยกไปตามขา เราต้องเกร็งหน้าท้องและลำตัวตลอดเวลา งอแขนเล็กน้อย เป็นการผ่อนแรง โน้มตัวเปลี่ยนตำแหน่งการจับแฮนด์ไปเรื่อยตามที่ครูบอก
    ขณะที่เปลี่ยนเพลง ครูจะสอนให้เราได้ขยับแขนไปมา เพื่อให้ได้บริหารร่างกายทุกสัดส่วน แต่โดยรวมแล้ว 90 เปอร์เซ็นต์ จะเน้นที่แกนกลางลำตัวและกล้ามเนื้อขา
    ตลอดการปั่น 45 นาที จะเป็นการออกกำลังกายแบบ Interval Training ที่ทำให้ผู้ฝึกได้ออกกำลังด้วยความหนักเป็นระยะเวลาสั้นๆ แล้วพักก่อนที่จะทำเซ็ตต่อไปซ้ำๆ กันจนจบคลาส ซึ่งจะทำให้เผาผลาญพลังงานได้ดีกว่าการออกกำลังกายแบบเฉื่อยๆ แช่ไปนานๆ
    สำหรับกิจกรรมนี้ ยอมใจเลยค่ะว่าต้องให้ 8/10 เพราะอุปกรณ์หรือจักรยานในน้ำค่อนข้างหายาก และเป็นการออกกำลังกายที่เน้นเพียงส่วนล่าง จึงทำให้เราต้องบริหารส่วนบนในภายหลัง แต่ถ้าใครต้องการฝึกกำลังขาบอกเลย ห้ามพลาด สนุก เหนื่อย มัน สะใจจริงๆ
    ลองไปฝึกทั้ง 3 กิจกรรมที่ว่ามานะคะ เพราะลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บกล้ามเนื้อได้จริง แถมยังไม่รู้สึกเหนียวตัว เหมาะกับสภาพอากาศบ้านเราเป็นที่สุด

วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

3 ท่า ลดเซลลูไลต์ ไม่ง้ออุปกรณ์

3 ท่า ลดเซลลูไลต์ ไม่ง้ออุปกรณ์
ลดเซลลูไลต์ หรือผิวเปลือกส้ม ได้ด้วยการออกกำลังกายแบบไม่ง้ออุปกรณ์
          ลงทุนเข้าคอร์สนวดสลายเซลลูไลต์ก็แล้ว แต่บอกเลยว่า นกค่ะ ต้นขาดิฉันยังคงเป็นริ้ว เป็นผิวเปลือกส้ม เป็นอะไรที่ไม่น่ามองเอาเสียเลย แต่ทุกปัญหาย่อมมีทางออก หลังจากที่แนนได้พบกับ 3 ท่าออกกำลังกายซึ่งคุณก็ทำตามได้

ความจริงของเซลลูไลต์

ไม่เพียงแต่ผู้ใหญ่เท่านั้นที่มีปัญหาเซลลูไลต์ แต่วัยรุ่นวัยเรียนที่ต้องนั่งอ่านหนังสือทั้งวัน หรืออยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ไม่ยอมขยับไปไหน เจ้าวายร้ายเซลลูไลต์ย่อมตามติดไปด้วยทุกที่
ปัจจัยที่ทําให้เกิดเซลลูไลต์คือ ฮอร์โมนเพศหญิง พันธุกรรม พฤติกรรมการใช้ชีวิต การกินอาหารผิดๆ หลีกเลี่ยงการออกกําลังกายนานเกินไป และอายุที่มากขึ้น โดยกล้ามเนื้อจะเริ่มสะสมไขมันที่อยู่ใต้ผิวหนังแท้ ซึ่งร่างกายไม่สามารถนําไปเปลี่ยนเป็นพลังงานได้ ผนวกกับภาวะเส้นเลือดฝอยใต้ผิวไม่แข็งแรง   กระบวนการกําจัดของเสียทํางานผิดปกติ มีการสะสมของเสียคั่งระหว่างเซลล์กล้ามเนื้อใต้ผิวไม่ยืดหยุ่นและระบบไหลเวียนโลหิตเสียสมดุล
ดังนั้น ไม่ว่าคนน้ำหนักมากหรือน้อย อ้วนหรือผอม ล้วนมีเซลลูไลต์ได้ทุกคนค่ะ
นอกจากนี้ แนนยังมีความจริงเกี่ยวกับเซลลูไลต์มาบอกต่อ เพื่อให้สาวๆ พุ่งไปสู่กลยุทธ์ยิงตรงเป้า ซึ่งจะช่วยให้เรากำจัดผิวเปลือกส้ม หรือเซลลูไลต์ได้อยู่หมัด
  1. เซลลูไลต์ทําลายด้วยครีมหรือโลชั่นใดๆ ไม่ได้ เพราะปัญหานี้ถือกําเนิดจากภายในชั้นผิวหนัง ซึ่งการทา หรือนวดคลําภายนอกช่วยไม่ได้เลย
2. การทําทรีตเมนต์กึ่งสปาอาจช่วยได้บ้าง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด และจําเป็นต้องเป็นการทรีตเมนต์ประเภทที่ไม่ใช่เพื่อความงาม แต่เป็นเชิงการแพทย์เพื่อการรักษาค่ะ
3. เซลลูไลต์ไม่ได้ถ่ายทอดทางพันธุกรรม และสามารถทําให้หายไปได้ (เรายังมีหวัง)
4. วัยและระยะเวลาการเกิดเซลลูไลต์มีผลต่อการรักษาอย่างมาก หากเกิดขึ้นตอนยังสาว ย่อมรักษาให้หายง่ายกว่าตอนอายุมาก หรือหากเซลลูไลต์เพิ่งเกิด ย่อมรักษาได้ง่ายกว่าประเภทที่อยู่กับต้นขาหรือสะโพกเรานานปีดีดัก

วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2561

6 วิธีกิน + 7 เทคนิค ตัวช่วยเพิ่มมวล กระดูก

6 วิธีกิน + 7 เทคนิค ตัวช่วยเพิ่มมวล กระดูก

กระดูก เชื่อว่าทุกท่านต้องการให้ข้อต่อทั่วร่างกายแข็งแรงเพื่อการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพไปนาน ๆ ดังนั้นการทำความรู้จักชนิดและหน้าที่ของข้อจึงมีความจำเป็นอย่างมาก เพื่อให้เราสามารถดูแลข้อได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
สำหรับข้อในร่างกายแบ่งอย่างง่ายๆ เป็น 2 กลุ่ม คือ ข้อแกนกลางร่างกายได้แก่ ข้อกระดูกสันหลัง ที่เริ่มต้นจากต้นคอไปจนถึงก้นกบ และข้อส่วนปลายได้แก่ ข้อต่างๆ บริเวณแขน ขา มือ เท้า นิ้ว เช่น ข้อนิ้วมือ ข้อมือ ข้อเท้า ข้อเข่า เป็นต้น

6วิธีกินช่วยข้อแข็งแรง


แน่นอนว่าอาหารการกินล้วนส่งผลดีและผลเสียต่อข้อได้ หากกินอาหารไม่มีประโยชน์จะยิ่งเร่งให้ข้อเสื่อมเร็วขึ้น ดังนั้นเรามาดูกันว่า ควรกินอาหารอะไรและอย่างไรเพื่อให้ข้อแข็งแรง
1. ควรกินอาหารที่อุดมด้วยแคลเซียม เพราะแร่ธาตุชนิดนี้ช่วยสร้างความแข็งแรงให้กระดูกและลดความเสี่ยงการเกิดโรคกระดูกพรุน อาหารที่เป็นแหล่งแคลเซียม ได้แก่ โยเกิร์ต เนยแข็ง แต่ควรเลือกชนิดไขมันต่ำผักสีเขียว บรอกโคลี คะน้า ปลาเค็ม ปลาเล็กปลาน้อยที่เคี้ยวทั้งกระดูกได้งาดำ เต้าหู้
2. กินส้มหรือผลไม้รสเปรี้ยวแทนขนมจะดีต่อสุขภาพข้อมากกว่าเนื่องจากมีงานวิจัยสนับสนุนว่า วิตามินซีและสารแอนติออกซิแดนต์ในส้มหรือผลไม้รสเปรี้ยวช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคข้อเข่าเสื่อมได้

3. เพิ่มสีสันให้อาหารของคุณ กินผักและผลไม้ที่มีสีสันหลากหลายเช่น มะเขือเทศสีแดง แครอตสีส้ม กะหล่ำปลีสีม่วง ข้าวโพดและฟักทองสีเหลือง ผักใบเขียวชนิดต่าง ๆ เพราะในผักและผลไม้เหล่านี้อุดมไปด้วยใยอาหาร สารแอนติออกซิแดนต์ ซึ่งเป็นสารอาหารบำรุงข้อ
4. กินปลาทะเลน้ำลึกอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 - 3 ครั้ง โดยเฉพาะปลาแซลมอนและปลาแมคเคอเรล เพราะมีกรดไขมันโอเมก้า - 3 สูง จากงานวิจัยพบว่า สารอาหารชนิดนี้สามารถช่วยให้ข้อแข็งแรงและลดอาการปวดและอักเสบในผู้ป่วยโรคข้ออักเสบได้ โดยหลีกเลี่ยงการปรุงด้วยวิธีทอดหรือผัด แนะนำให้ใช้วิธีย่างหรือนึ่งแทนเพื่อลดปริมาณแคลอรีจากน้ำมัน
5. ลดการดื่มเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน คุณอาจต้องการเพิ่มพลังหรือปลุกตัวเองให้ตื่นในตอนเช้าด้วยกาแฟหอมกรุ่น แต่ควรงดกาแฟแก้วที่สองและสามระหว่างวันลง เพราะสารกาเฟอีนในกาแฟจะทำให้ร่างกายขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะ ส่งผลให้ระดับแคลเซียมในร่างกายเสียสมดุล จึงเกิดการสลายแคลเซียมในกระดูกมาใช้แทน
นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่า การดื่มเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนปริมาณมากเกินไปจะทำให้มวลกระดูกบางลง
6. กินอาหารให้หลากหลายเพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินครบถ้วน หากทำไม่ได้ อาจกินวิตามินรวมเสริม ซึ่งการกินวิตามินรวมจะทำให้คุณได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่ขาดไป เช่น แคลเซียมและวิตามินเคมีส่วนช่วยในการสร้างกระดูก วิตามินซีช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อ กรดโฟลิกและวิตามินอีช่วยบำรุงกล้ามเนื้อรอบ ๆ ข้อ

7เทคนิคพักผ่อนตัวช่วยข้อแกร่ง


วันพุธที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2561

10 สูตรต้านหวัด ช่วงปลายฝน

10 สูตรต้านหวัด ช่วงปลายฝน 


สูตรต้านหวัด ดีๆ สำหรับช่วงที่ฝนฟ้าไม่เป็นใจ เดี๋ยวตก เดี๋ยวหยุด บางวันครึ้ม บางวันแดดจ้า แถมอากาศเย็นก็กำลังจะมา ชวนให้เจ็บไข้ไม่สบายเอาง่ายๆ จะรออะไร มาดู 10 วิธีที่จะช่วยให้คุณผ่านพ้นช่วงอากาศเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับร่างกายแข็งแรงกันเถอะ
  1. ทำตัวให้ตัวอุ่น เวลามีเชื้อโรคคุกคาม อุณหภูมิภายในร่างกายเราจะร้อนขึ้นมาก ซึ่งแสดงว่าภูมิคุ้มกันในร่างกายกำลังทำงานหนักเพื่อจัดการกับเชื้อโรคอย่างขันแข็ง ฉะนั้นควรดูแลร่างกายให้อบอุ่นเวลานอน เพราะขณะนอนหลับ อุณหภูมิในตัวเราจะลดลง วิธีง่าย ๆ ที่ช่วยได้จริงคือ การสวมหมวกหรือใช้ผ้าคลุมศีรษะ พันผ้าพันคอหรือสวมเสื้อปิดคอ สวมกางเกงขายาว และสวมถุงเท้า
    เมื่อศีรษะ คอ และเท้าไม่เย็นลงเพราะความเย็นของเครื่องปรับอากาศหรือพัดลม จะช่วยให้นอนหลับสบายขึ้น อาการต่างๆ เช่น ไอ ก็จะบรรเทาเบาบางลง สูตรนี้เหมาะกับช่วงเริ่มเข้าฤดูหนาวหรือตอนอากาศไม่ร้อนมาก เพราะหากอากาศร้อนแล้วห่อตัวขนาดนี้ อาจทำให้เหงื่อออกมากซึ่งก็จะทำให้รู้สึกหนาวหลังจากนั้น เป็นเหตุให้อาการต่างๆกำเริบได้อีก ฉะนั้นลองปิดแอร์แล้วเปิดพัดลมแทน เพื่อให้อากาศในห้องนอนไม่เย็นจนเกินไป ปรับความอบอุ่นร่างกายให้เหมาะตามสภาพอากาศด้วยนะคะ
  2. น้ำอุ่นเช้าถึงค่ำ น้ำอุ่นเป็นตัวช่วยที่ดีในการบรรเทาอาการหวัด เริ่มตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้า ลองแปรงฟันบ้วนปาก ด้วยน้ำอุ่น ซึ่งจะช่วยขับเสมหะและลดอาการไอได้ดีมากทีเดียว ถ้าจะอาบน้ำหรือเช็ดตัวก็ควรใช้น้ำอุ่น และอย่าใช้เวลาอาบนานมาก ควรอาบน้ำก่อนเวลาหกโมงเย็น ดื่มน้ำอุ่นหรือกินน้ำซุปอุ่นจัดๆ ซึ่งไม่ควรร้อน เกินไปเพราะอาจเป็นการลวกคอทำลายเซลล์ และถ้าเซลล์ถูกทำลายบ่อยๆ ก็เสี่ยงเป็นมะเร็งอีก หรือจะ ดื่มน้ำธรรมดาก็ได้ค่ะ แต่ต้องไม่เย็น  ก่อนนอนควรบ้วนปากแปรงฟันด้วยน้ำอุ่นอีกรอบ เป็นอันครบถ้วน 
  3. กินยาฟ้าทลายโจร ไม่ใช่แต่คนไทยเท่านั้นนะคะ ชาวจีน อินเดีย และชวาก็ใช้ฟ้าทลายโจรกันด้วย สรรพคุณสำคัญในต้นและใบของพืชชนิดนี้ สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่เป็น สาเหตุของการติดเชื้อและการอักเสบ และเพราะเป็นพืชสมุนไพรที่มีฤทธิ์เด่นชัดมากนี่เอง จึงสามารถใช้เป็นยาเดี่ยวๆรักษาอาการได้ นังสือสมุนไพรน่ารู้ เขียนโดยรองศาสตราจารย์ ดร.วันดี กฤษณพันธ์ แนะนำวิธีกินฟ้าทลายโจร เป็นยาไว้ว่า ถ้าหากใช้แก้เจ็บคอ ให้สับฟ้าทลายโจรเป็นท่อน สั้นๆ 1 กำมือ ต้มนาน 10 – 15 นาที ดื่มก่อนอาหาร วันละ 3 ครั้ง สูตรนี้สำหรับคนไม่กลัวรสขมค่ะ ถ้ากลัวขมให้กินเป็นยาแคปซูล 500 มิลลิกรัม ครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้า-เย็น แต่ไม่ควรกินฟ้าทลายโจรติดต่อกันเกิน 7 วัน อาจทำให้มือเท้าชาอ่อนแรง เนื่องจากมีฤทธิ์เย็นค่ะ
  4. อมเกลือบ้วนปาก การกลั้วคอก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยลดอาการเจ็บคอได้ มีสูตรง่ายๆ ค่ะ                  สูตรแรกคือ ใช้เกลือ 1 ช้อนชา ผสมน้ำอุ่น 1 แก้ว อมบ้วนปากวันละ 3 – 4 ครั้ง
    สูตรสองคือ ใช้เบกกิ้งโซดาก็ดีทีเดียวค่ะ ซื้อ หาได้ตามซูเปอร์มาร์เก็ตราคาแค่ซองละสิบกว่าบาท เท่านั้นเอง โดยผสมเบกกิ้งโซดาครึ่งช้อนชากับ น้ำเปล่า 1 แก้ว กลั้วคอวันละ 3 – 4 ครั้ง
    คุณหมอออซคนดังของสหรัฐอเมริกากล่าวว่า เชื้อแบคทีเรียสเตร็ปที่อาศัยอยู่ในคอของเรา คือ สาเหตุของอาการระคายเคืองและเจ็บคอ คุณหมอแนะนำสูตรบ้วนปากแบบธรรมชาติ โดยใช้เกลือ 1 ช้อนชา ผสมน้ำมะนาวครึ่งลูก ผสมกับชาจาก ใบเสจ (ครึ่งถ้วย) เสจช่วยชะลอการเติบโตของแบคทีเรีย ส่วนเกลือและมะนาวจะช่วยลดอาการระคายเคืองในลำคอ
  5. สูตรลดอาการไอ  เราเชื่อกันมาตลอดว่า การกินยาจะช่วยบรรเทาอาการไอได้ แต่ประธานคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ เกี่ยวกับปอด ริชาร์ด ดี. เออร์วิน (Richard D. Irwin) กล่าวไว้ในนิตยสาร The American College of Chest Physicians ว่า ไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่กล่าวว่ายาแก้ไอที่ขายกันอยู่ทั่วไป สามารถบรรเทาอาการไอได้จริง อาการไอเกิดจากการระคายเคืองและเสมหะ ฉะนั้นจึงสามารถบรรเทาอาการได้ด้วยการดื่มน้ำอุ่นบ่อยๆ หรืออาจบ้วนปากด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ นอน พักผ่อนให้พอ งดอาหารทอด แต่ถ้าอาการไอยังรุนแรงและเรื้อรังอยู่ ควรจะไปพบคุณหมอ
  6. อบสมุนไพร อาการคัดจมูกน้ำมูกไหลเป็นวิธีการกำจัดสิ่งแปลกปลอมและเชื้อโรคที่อยู่ภายในร่างกายของเรา ซึ่งมีประโยชน์ แต่ติดตรงน่ารำคาญนี่แหละ คนไทยเราเองมีสูตรพื้นบ้านลดอาการคัดจมูกน้ำมูกไหลกันมานานแล้วค่ะ ในหนังสือชุดนิทรรศการการแพทย์แผนไทย ของสถาบันการแพทย์แผนไทย แนะนำไว้ว่า การอบไอน้ำสมุนไพรด้วยสมุนไพรกลิ่นหอม ๆ อย่างไพล ขมิ้น ผิวมะกรูดซึ่งมีน้ำมันหอมระเหย และเติมสมุนไพรที่ผ่านความร้อนแล้วจะมีกลิ่นหอม เช่น การบูรกับพิมเสน เล็กน้อย ช่วยบำบัดอาการหวัดคัดจมูกได้ หรือถ้าการอบสมุนไพรทั้งตัวเป็นเรื่องยุ่งยาก ลองปรับมาเป็นการอบ เพื่อสูดดมก็ได้ค่ะ โดยใช้สมุนไพรเหล่านี้ร่วมกันหรือหาได้บางอย่างก็ไม่เป็นไร จากนั้นต้มสมุนไพรเหล่านี้จนเดือด แล้วเทลงอ่างหรือชามใบใหญ่ (อย่าใช้พลาสติกนะคะ) แล้วใช้ผ้าคลุมศีรษะ อังใบหน้าบริเวณเหนืออ่างใส่สมุนไพรสักพัก หลังจากอบแล้วสามารถผสมสมุนไพรกับน้ำอุ่นอาบได้อีกด้วย หรืออาจใช้แค่หอมแดงก็ได้ค่ะ โดยปอกเปลือกหัวหอมแดงสัก 4 – 5 หัว ทุบพอแตก นำไปต้มกับน้ำประมาณ 1 ลิตรจนเดือด แล้วอบกระโจมเช่นเดียวกับวิธีการข้างต้น
  7. กินสมุนไพรต้านหวัด ไม่ต้องไปมองหาสมุนไพรจากที่อื่นไกลเลยค่ะ อาหารทั่วไปที่เรา กินกันอยู่เป็นประจำนี่แหละที่มีสมุนไพรต้านหวัดอยู่มากพอ เช่น พืชผักกลิ่นรสเผ็ดร้อนอย่างพริกไทย หัวหอมแดง กระเทียม ขิง กะเพรา ซึ่งช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย สะเดา รสขมก็มีคุณสมบัตินี้เช่นกัน ขมิ้นชันรสขมเฝื่อนมีความเผ็ดเล็กน้อย ช่วยลดไข้แก้หวัด ส่วนโหระพาและดอกแคช่วยลดไข้ได้ ส่วนมะนาว มีวิตามินซีช่วยละลายเสมหะ ผักต่างๆหลายชนิด เช่น ยอดมะยม ดอกขี้เหล็ก มะระขี้นก คะน้า แครอต ผักโขม ฯลฯ ก็ช่วยลดอาการหวัดเช่นกัน ถ้าช่วงไหนเป็นหวัด ลองปรับเปลี่ยนมารับประทานอาหารเหล่านี้ดูบ้าง ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยต่อสู้กับหวัดตัวดีได้ค่ะ 
  8. กินอาหารเปรี้ยวหวาน วิธีสู้หวัดที่อร่อยที่สุดคือ การกินผลไม้หลากหลายชนิด โดยเฉพาะผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซี เช่น ฝรั่ง ส้ม มะเฟือง มะละกอ มะขามป้อม พุทรา มะปราง ฯลฯ การกินผลไม้สดๆจะได้คุณค่าของวิตามินซีและสารอาหารอื่นๆที่มีประโยชน์มากที่สุดที่ช่วยกระตุ้น การทำงานของภูมิคุ้มกันในร่างกายให้มีพลังสู้กับโรคค่ะ
    1. ไช้เท้าต้านหวัดตำรับจีน สูตรสู้หวัดของจีนก็น่าสนใจไม่น้อยค่ะ ในหนังสือ โภชนาบำบัด สูตรอาหารสมุนไพร โดยสุภาณี ปิยพสุนทรา ซึ่งเรียบเรียงมาจากตำรับแพทย์แผนจีนโบราณ สูตรที่น่าสนใจสูตรหนึ่งในการต้านหวัดก็คือหัวไช้เท้าค่ะ แพทย์แผนจีนกล่าวว่า หัวไช้เท้าเป็นอาหารที่มีประโยชน์ มีสรรพคุณในการกระจายสิ่งหมักหมมในร่างกาย ละลายเสมหะ แก้พิษ ลดความดันโลหิต ขยายหลอดลมและหลอดเลือด ฯลฯ จึงนำมาใช้รักษาอาการหวัดและอาการไอได้ผลดี โดยนำหัวไช้เท้าสดมาคั้นน้ำ เติมน้ำตาลทรายแดง เล็กน้อยดื่มแก้ไอ
    2. นอนเพิ่มพลัง
    3. ไม่น่าเชื่อว่าการนอนจะเป็นการเพิ่มพลังในการเยียวยารักษาตัวเองที่ง่ายที่สุดทางหนึ่ง เพราะ เวลานอนเป็นเวลาที่ร่างกายของเราได้ซ่อมแซมและฟื้นฟูตัวเอง ผู้ใหญ่มักแนะนำให้นอนพักมากๆ เวลานอนที่ดีที่สุดตามแนวทางแพทย์แผนจีนคือ การนอนหัวค่ำแล้วตื่นแต่เช้า เพื่อให้ภูมิคุ้มกันทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และหากนอนอย่างพอเพียงก็จะช่วยฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรงเร็วขึ้น
      10 วิธีง่ายๆ ถ้ารู้สึกจะไม่สบายเพราะอากาศเปลี่ยนแปลง ลองทำดูแล้วมาแชร์กันว่าได้ผลหรือไม่ ที่สำคัญคือกินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโรคภัยให้ร่างกายได้มากทีเดียว

      (สนับสนุนข้อมูล : คอลัมน์ชีวจิต+ นิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 347)

วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

5 ประโยชน์ต้องรู้ของ โพรไบโอติก ช่วยระบบย่อย

5 ประโยชน์ต้องรู้ของ โพรไบโอติก ช่วยระบบย่อย

โพรไบโอติก สิ่งมีชีวิตเล็กๆ สุขภาพแข็งแรงไม่มีโรคคือสิ่งที่ทุกคนปรารถนา แต่ด้วยรูปแบบการดำรงชีวิตและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย ทำให้ระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายถดถอยลง คนในยุคปัจจุบันจึงพบกับปัญหาสุขภาพต่างๆ รวมถึงความผิดปกติเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารและระบบขับถ่าย ซึ่งมีอัตราผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นทุกๆ ปี
ขอแนะนำสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่เรียกว่า จุลินทรีย์โพรไบโอติก ซึ่งถือเป็นผู้ช่วยเหลือเกื้อกูลคนสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อระบบภายในร่างกายของคุณโดยเฉพาะระบบทางเดินอาหารและระบบขับถ่ายค่ะ

ทำความรู้จัก…

ปัจจุบันความรู้เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่อาศัยในร่างกายมนุษย์ขยายวงกว้างมากขึ้น จนทำให้รู้ว่าสิ่งใดเป็นคุณและเป็นโทษต่อร่างกาย ซึ่งสิ่งมีชีวิตที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเรามีมากมายหลายชนิด รวมไปถึงสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ อย่างโพรไบโอติก (Probiotic)
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความหมายของโพรไบโอติกไว้ว่าคือกลุ่มจุลินทรีย์ในระบบทางเดินอาหารที่มีผลต่อความสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้มีคุณสมบัติทนต่อสภาวะกรดในกระเพาะอาหารและทนต่อเกลือน้ำดีในลำไส้สามารถผลิตกรดแล็กติกและสร้างสารยับยั้งแบคทีเรียชนิดก่อโรคได้ อีกทั้งยังทำให้เกิดความสมดุลในระบบการย่อยอาหาร ระบบขับถ่าย ช่วยให้สุขภาพของมนุษย์ดีขึ้น
เมื่อบริโภคโพรไบโอติกที่อยู่ในรูปของผลิตภัณฑ์อาหารจะช่วยเพิ่มแบคทีเรียที่ดีในลำไส้ ซึ่งโดยปกติแล้วในระบบทางเดินอาหารของมนุษย์จะมีแบคทีเรียที่ดีกับเชื้อก่อโรคอาศัยอยู่ด้วยกันอย่างสมดุล แต่ความสมดุลนี้จะถูกทำลายจากการกินอาหารที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ ความเครียด การพักผ่อนน้อย อายุที่เพิ่มขึ้นรวมถึงโรคต่าง ๆ และการใช้ยา เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาคุมกำเนิด การบำบัดโรคด้วยวิธีฉายรังสี หรือแม้แต่การผ่าตัดกระเพาะอาหารและลำไส้ ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาสุขภาพหลายอย่าง เช่น ภูมิแพ้ คอเลสเตอรอลสูง ภูมิต้านทานโรคต่ำ ท้องผูก ซึ่งการกินอาหารที่มีจุลินทรีย์โพรไบโอติกที่มีชีวิตในปริมาณที่เพียงพอจะช่วยทำหน้าที่ปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในทางเดินอาหารได้

เรื่อง(ใน)ท้องโพรไบโอติกช่วยได้

ระบบทางเดินอาหารหรือระบบย่อยอาหารเป็นระบบที่สำคัญระบบหนึ่งในร่างกายที่ต้องทำงานหนักตลอดชีวิตเรา หากประกอบกับพฤติกรรมการใช้ชีวิต การกิน และการดูแลตัวเองที่ไม่สมดุล ก็อาจเป็นสาเหตุของโรคต่าง ๆ เช่น โรคกระเพาะอาหาร ลำไส้แปรปรวน ท้องผูก ท้องเสีย ท้องอืด เป็นต้น
ดร.แกรี่ บี. ฮัฟฟ์นาเกิล และซาร่าห์ เวอร์นิก กล่าวไว้ในหนังสือ The Probiotics Revolution ว่า “โรคระบบทางเดินอาหารมักพบว่าเป็นปัญหาหลักของชาวตะวันตกที่ทำให้สูญเสียค่าใช้จ่าย ค่ารักษาอาการปีละไม่น้อย แต่การใช้ยารักษาโรคอาจไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ดีนัก หนทางหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาระบบการย่อยและสุขภาพของร่างกายให้เป็นปกติได้คือ การใช้จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์หรือโพรไบโอติกนั่นเอง”
โดยผลของโพรไบโอติกที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพท้องของเรานั้นมีมากมาย ดังนี้
  1. ลดภาวะไม่ทนต่อเอนไซม์แล็กโตส
อาจารย์ ดร.ชลัท ศานติวรางคณา อาจารย์ประจำสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายถึงคุณประโยชน์ข้อนี้ของโพรไบโอติกว่า
“เนื่องจากประชากรโลกส่วนใหญ่มีปริมาณของน้ำย่อยหรือเอนไซม์แล็กโตส ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ย่อยน้ำตาลแล็กโตสต่ำ จึงทำให้น้ำตาลแล็กโตสไม่สามารถย่อยในทางเดินอาหาร
“ดังนั้นคนที่ดื่มนมแล้วเกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องเดิน หรือปวดท้อง โพรไบโอติกในอาหารหมัก เช่น นมเปรี้ยว โยเกิร์ตสามารถผลิตน้ำย่อยเพื่อช่วยย่อยแล็กโตสในนมไปแล้วในระหว่างการหมัก จึงทำให้มีแล็กโตสเหลือน้อยหรือไม่มีเลย ซึ่งคุณสมบัตินี้เป็นผลต่อสุขภาพที่สำคัญของโพรไบโอติก” 
  1. ลดอาการท้องผูก
ในรายที่มีอาการท้องผูกเรื้อรัง มีหลักฐานการวิจัยทางคลินิกพบว่า การใช้โพรไบโอติกจะช่วยปรับความสมดุลของลำไส้ใหญ่ ทำให้อุจจาระนิ่มขึ้นเนื่องจากกรดอินทรีย์ที่จุลินทรีย์ไบฟิโดแบคทีเรีย(Bifidobacteria) ผลิตขึ้นจะกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ใหญ่และช่วยเพิ่มความชื้นของอุจจาระ ทำให้สามารถขับถ่ายได้สะดวกขึ้น
นอกจากนี้ข้อมูลจาก ภาควิชาเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล เผยว่า มีการศึกษาแบบสุ่มที่มีการควบคุม 5 การศึกษา ในอาสาสมัครทั้งหมด 377 คน โดยเป็นการศึกษาในผู้ใหญ่ 3 การศึกษาและเป็นการศึกษาในเด็ก 2 การศึกษา พบว่า การใช้โพรไบโอติกมีผลต่อความถี่ในการถ่ายอุจจาระและลักษณะของอุจจาระเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมดังนั้นสามารถสรุปได้ว่า โพรไบโอติกมีส่วนช่วยอาการท้องผูกทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ 
  1. บำบัดโรคลำไส้แปรปรวน
จากการทดลองทางคลินิกซึ่งตีพิมพ์ลงในวารสาร Gastroenterology ค้นพบว่า โพรไบโอติกบางชนิดสามารถลดอาการของโรคลำไส้แปรปรวนได้ ยกตัวอย่างเช่น นักวิจัยชาวไอร์แลนด์รับสมัครผู้ป่วยโรคลำไส้แปรปรวนจำนวน 77 คน เพื่อประมวลผลการใช้โพร-ไบโอติก 2 สายพันธุ์ในการบำบัดโรคนี้ โดยแบ่งผู้ป่วยออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกได้รับโพรไบโอติกชนิดแล็กโตบาซิลลัส ซาลิวาเรียสยูซีซี 4331 เป็นประจำทุกวันโดยผสมในนมมอลต์ให้ดื่ม กลุ่มที่ 2 ได้ดื่มนมแบบเดียวกันแต่ผสมโพรไบโอติกต่างชนิดคือ ไบฟิโดแบคทีเรียม อินแฟนทิส 35624 และกลุ่มที่ 3 ได้ดื่มนมมอลต์ธรรมดาที่ไม่มีผลต่อร่างกายใด ๆ โดยผู้ป่วยแต่ละคนไม่รู้ว่าตัวเองสังกัดกลุ่มใด
ตลอดเวลา 4 สัปดาห์ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มดื่มนมมอลต์ และในระหว่าง 8 สัปดาห์ต่อมาผู้เข้าร่วมการทดลองต้องจดบันทึกอาการของตนนอกจากนี้พวกเขายังถูกห้ามไม่ให้ใช้ยาใด ๆ อาทิ ยาระบาย ยาระงับอาการท้องร่วง ยาปฏิชีวนะ ผลิตภัณฑ์ใด ๆ ที่มีโพรไบโอติกเจือปน
ผลปรากฏว่า ผู้ป่วยซึ่งดื่มเครื่องดื่มที่มีเชื้อไบฟิโดแบคทีเรียม อินแฟนทิส 35624 ที่เคยมีทั้งอาการปวดท้อง การพองตัวของลำไส้และความสม่ำเสมอในการเคลื่อนตัวของลำไส้มีอาการดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตามกลุ่มที่ได้รับโพรไบโอติกที่มีเชื้อแล็กโตบาซิลลัส ซาลิวาเรียส ยูซีซี 4331 ไม่แสดงผลที่เหนือกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับโพรไบโอติก
  1. บรรเทาอาการท้องเดิน
ถือเป็นอีกคุณสมบัติของโพรไบโอติก โดยอาจารย์ไชยวัฒน์ อธิบายว่า โพรไบโอติกสามารถลดความถี่และระยะเวลาของอาการท้องร่วง ลดการติดเชื้อภายในลำไส้ และเพิ่มภูมิคุ้มกันด้วยกลไกที่เป็นไปได้คือ การทำให้ลำไส้ใหญ่มีความเป็นกรดจากการผลิตกรดแล็กติกและกรดแอซิติกที่เกิดจากกระบวนการหมักหรือใช้น้ำตาลเป็นอาหารแล้วเปลี่ยนเป็นกรด ซึ่งกรดดังกล่าวที่ผลิตขึ้นมีผลยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคได้ อีกกลไกหนึ่งคือ ทำให้การตอบสนองต่อภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้น สามารถลดอาการแพ้ (Allergic Symptoms) ได้ 
  1. ป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
ข้อมูลทางระบาดวิทยาพบว่าอุบัติการณ์ของมะเร็งลำไส้ใหญ่มีความสัมพันธ์กับการกินอาหารไขมันสูง เพราะไขมันในอาหารจะกระตุ้นให้มีการหลั่งกรดน้ำดีในลำไส้ใหญ่มากขึ้น ร่วมกับกรดน้ำดีอีกส่วนหนึ่งที่เกิดจากแบคทีเรียเองซึ่งมีส่วนส่งเสริมให้เกิดมะเร็งได้ดังนั้นกลไกในการต้านมะเร็งของโพรไบโอติก ได้แก่ กดการทำงานของสารก่อมะเร็ง สามารถลดเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็งในลำไส้ใหญ่ ควบคุมหรือเหนี่ยวรั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่มีเอนไซม์ในการทำให้เกิดสารก่อมะเร็ง มีผลต่อการเคลื่อนไหวหรือการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ ทำให้ร่างกายกำจัดสารก่อกลายพันธุ์ออกได้เร็วขึ้น และกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

จาก คอลัมน์เรื่องพิเศษ นิตยสารชีวจิต ฉบับ 424 (1 มิถุนายน 2559)

วันศุกร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2561

7 อาหารสุขภาพ กินมากไปป่วยแน่

7 อาหารสุขภาพ กินมากไปป่วยแน่
อาหารสุขภาพ เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ สำหรับคนยุคใหม่ที่อยากมีร่างกายแข็งแรง ปลอดโรคภัย แต่รู้ไหมว่า อาหารบางอย่างอาจมีพิษแฝงอยู่ กินมากไป กินไม่ถูกวิธีอาจทำให้เจ็บป่วยได้เลย มาดูเลยว่ามีอะไรบ้าง

มะเขือเทศ

ประโยชน์ มะเขือเทศอุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร ซึ่งพบว่ามะเขือเทศหนึ่งผลให้วิตามินเอมากถึง 1 ใน 3 ของวิตามินเอที่ร่างกายต้องการในหนึ่งวัน นอกจากนี้ในมะเขือเทศยังมีโพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียมและแร่ธาตุอื่นๆอีกหลายชนิด การกินมะเขือเทศที่ปรุงสุกโดยใช้ความร้อนจะได้คุณค่า สารอาหารมากกว่าการกินมะเขือเทศสดๆถึง 4 เท่า
เนื่องจาก มะเขือเทศที่ผ่านความร้อนแล้วจะมีปริมาณสารไลโคปีน (Lycopene) ซึ่งเป็นสารแอนติออกซิแดนต์มากขึ้น ไลโคปีนช่วยลดอัตราการเกิดโรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรค เบาหวาน โรคกระดูกพรุน และภาวะการเป็นหมันในชาย
ความเป็นพิษ พิษที่พบในมะเขือเทศอยู่ในส่วนของก้านและผลของมะเขือเทศดิบ โดยจะพบสารพิษในกลุ่ม Steroidal Alkaloids ซึ่งเป็นสารพิษอันตรายที่พบได้ในบุหรี่และกัญชา เมื่อร่างกายได้รับสารพิษนี้จะทำให้มีอาการคลื่นไส้ ปวดท้อง และเกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหารได้
วิธีกิน หลีกเลี่ยงการกินมะเขือเทศดิบ  และควรดึงก้านมะเขือเทศ ออกก่อนกินทุกครั้ง
เห็ด
ประโยชน์ เห็ดที่กินได้มีหลายชนิดซึ่งมีประโยชน์แตกต่างกัน เช่น เห็ดหอมหรือเห็ดชิตาเกะช่วยลดไขมันในเส้นเลือด เพิ่มภูมิคุ้มกันมะเร็ง เห็ดหูหนูช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้เม็ดเลือดขาว ในผู้สูงอายุ เห็ดฟางมีวิตามินซีสูงและกรดแอมิโนที่สำคัญ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ลดการติดเชื้อต่างๆ และลดความดันโลหิตได้
ความเป็นพิษ เห็ดบางชนิดเป็นเห็ดที่มีพิษ เมื่อกินเข้าไปจะทำให้มีอาการเวียนศีรษะ อาเจียน หน้ามืด ง่วงนอน และปวดท้องอย่าง รุนแรง หรืออาจเสียชีวิตได้
วิธีกิน ก่อนบริโภคเห็ดที่ไม่แน่ใจว่าเป็นพิษหรือไม่ ควรทำการทดสอบก่อน  ซึ่งการทดสอบเห็ดพิษมีหลายวิธี แต่ก็ไม่ได้ผล 100 เปอร์เซ็นต์  จึงอาจยังก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้บริโภคได้  ดังนั้น  การกินเฉพาะเห็ดที่เคยบริโภคแล้วไม่เกิดอันตรายเท่านั้น  จึงเป็นวิธีการที่ปลอดภัยที่สุดค่ะ

พริก

ประโยชน์ สารแคปไซซิน (Capsaicin) ในพริกพบอยู่มากที่บริเวณเยื่อแกนกลางสีขาวที่เรียกว่า “รกพริก” ซึ่งนอกจากจะให้ความเผ็ดร้อนแล้ว ยังมีคุณสมบัติช่วยทำให้หลอดเลือดขยายตัว และเกล็ดเลือดไม่รวมตัวกันเป็นก้อนง่าย ซึ่งป้องกันการอุดตันของหลอดเหลือด โดยเฉพาะหลอดเลือดหัวใจ
ความเป็นพิษ การกินพริกปริมาณมากเกินไปจะทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารหรือโรคในระบบทางเดินอาหารได้
วิธีกิน  ควรลดปริมาณการกินพริกให้น้อยลง  และก่อนนำพริกสดมาประกอบอาหาร  ควรล้างให้สะอาดทุกครั้ง
มันฝรั่ง
ประโยชน์ มันฝรั่งมีโพแทสเซียม ช่วยให้หลอดเลือดหัวใจแข็งแรง ลดความเสี่ยงต่อการเป็นนิ่วในไต และมีใยอาหารปริมาณสูง ช่วยบำรุงลำไส้ แก้อาการท้องผูกได้
ความเป็นพิษ เปลือกของมันฝรั่งมีสารพิษที่ชื่อว่า ชาโคนีน (Chaconine) และโซลานีน (Solanine) หากเผลอกินเข้าไปจะทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ อาเจียน หรือท้องเสียได้ นอกจากนี้ยังพบว่า การเก็บรักษามันฝรั่งผิดวิธี เช่น นำไปวางภายใต้แสงนีออน เป็นเวลานาน จะทำให้มันฝรั่งมีสารพิษนี้เพิ่มมากขึ้น 2 – 3 เท่า โดยที่ความร้อนก็ไม่สามารถทำลายสารพิษนี้ได้
วิธีกิน ในชีวิตประจำวันของคนไทย  เรากินมันฝรั่งไม่มากนัก จึงไม่ได้รับอันตรายจากสารพิษนี้  แต่เพื่อความปลอดภัย หากต้องซื้อมาบริโภค  ควรเลือกซื้อมันฝรั่งที่บรรจุในหีบห่อมิดชิด  และเมื่อจะนำมาประกอบอาหาร ก็ควรหลีกเลี่ยงการกินเปลือกมันฝรั่ง

อัลมอนด์

ประโยชน์ อัลมอนด์เป็นถั่วที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เพราะเป็นแหล่งโปรตีน ใยอาหาร แคลเซียม และซีลีเนียม นอกจากนี้ยังมีวิตามินอีที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และมีไขมันไม่อิ่มตัวที่ช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและลดการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน ได้อีกด้วย
ความเป็นพิษ การกินอัลมอนด์ดิบมีอันตราย เพราะมีสารไฮโดรเจนไซยาไนด์ที่เป็นพิษต่อร่างกายอยู่ด้วย โดยจะทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ หายใจลำบาก มึนงง หมดสติ หรือเสียชีวิตได้หากกินเข้าไปในปริมาณมาก
วิธีกิน การกินอัลมอนด์อย่างปลอดภัยจึงควรนำไปอบให้สุกก่อนทุกครั้ง  เพื่อกำจัดสารไฮโดรเจนไซยาไนด์
เชอร์รี่
ประโยชน์ เชอร์รี่เป็นผลไม้ที่มีไขมันและแคลอรีต่ำ อุดมไปด้วยโซเดียม โพแทสเซียม ไฟเบอร์ วิตามินซี และวิตามินบีปริมาณสูง จึงช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน เพิ่มปริมาณ สารแอนติออกซิแดนต์ในร่างกาย และทำให้ความดันโลหิตเป็นปกติ
ความเป็นพิษ เชอร์รี่มีสารไฮโดรเจนไซยาไนด์อยู่ในเมล็ด เวลาที่เราบดเคี้ยวผลเล็กๆของเชอร์รี่พร้อมกับเมล็ดจะทำให้ร่างกาย ได้รับสารไฮโดรเจนไซยาไนด์เข้าไปด้วยซึ่งเป็นพิษต่อร่างกาย ทำให้มีอาการปวดศีรษะและอาเจียนได้
วิธีกิน ควรกินเฉพาะเนื้อเชอร์รี่เท่านั้น  โดยคายเมล็ดทิ้ง

แอ๊ปเปิ้ล

ประโยชน์ แอ๊ปเปิ้ลเป็นผลไม้ยอดนิยมที่มีรสอร่อยและได้ชื่อว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพมาก เพราะมีสารเพกทินที่เป็นประโยชน์ ต่อลำไส้ ช่วยในการขับถ่าย ลดคอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยง ในการเกิดมะเร็ง และช่วยชะลอวัยได้
ความเป็นพิษ เมล็ดของแอ๊ปเปิ้ลมีกรดไซยาโนจีนิก (Cyanogenic acids) ซึ่งจะสลายตัวเกิดเป็นสารพิษไซยาไนด์ ฉะนั้น เมื่อเราเคี้ยวเมล็ดแอ๊ปเปิ้ลเข้าไป ร่างกายจึงได้รับพิษจากไซยาไนด์ อ่อนๆซึ่งทำให้รู้สึกปวดหรือเวียนศีรษะได้
คราวนี้ก่อนกินอาหารชนิดไหน ก็ควรเช็กความเป็นพิษและวิธีกินอย่างถูกต้องเหมาะสม เพื่อความปลอดภัยและได้ประโยชน์กับสุขภาพที่สุดค่ะ

(สนับสนุนข้อมูล : คอลัมน์ ชีวจิต+ นิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 346)